รู้จัก Body แต่ละแบบและเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งาน

เหล็กหล่อ (Cast iron) เป็นเหล็กที่มีคาร์บอนเป็นส่วนประกอบเกิน 2% โดยน้ําหนัก ท่อ เหล็กหล่อหรือบางคร้ังเรียกว่าเหล็กหล่อสีเทา มีส่วนประกอบของคาร์บอน (ในรูปแบบของเกล็ดกรา ไฟต์) ซิลิคอน และสิ่งปลอมปนอื่นๆ มักใช้เป็นท่อนํ้าทิ้ง

ข้อดี

เหล็กหล่อถูกใช้งานในระบบนํ้าเสีย และระบบนํ้าทิ้งต่างๆที่มีการไหลด้วยแรงโน้มถ่วงของ โลก ข้อดีของท่อเหล็กหล่อคือ สามารถรับแรงกดจากภายนอกได้ (เช่นแรงอัดจากการฝังท่อใต้ดิน)ต้านทานเพลิงไหม้ ให้การไหลที่ดี และทนการกัดกร่อนของสิ่งปฏิกูลทั่วไปได้ มีหลักฐานว่าท่อ เหล็กหล่อสามารถใช้งานได้นานถึงร้อยปี

ข้อเสีย

ข้อเสียของเหล็กหล่อคือ ความเปราะ แตกง่ายเมื่อ หล่น หรือถูกกระแทก นอกจากนี้ยังไม่สามารถทนต่อการกัดกร่อนของส่ิงปฏิกูลท่ีรุนแรงได้ มีนํ้าหนัก มาก และมรี าคาสูง

สเตนเลสสตีล หรือเหล็กกล้าไร้สนิม (Stainless Steel) มีหลากหลายชนิด โดยจะมีส่วนประกอบสําคัญเป็น โครเมียม (Cr) 11-30% นิเกิ้ล (Ni) 0-35% และโมลิบดินั่ม (Mo) ในสัดส่วน 0-30% และอาจมี ส่วนประกอบอื่นๆ ในปริมาณน้อยเช่น ไททาเนี่ยม แมงกานีส นีโอเบียม และ ไนโตรเจน เป็นต้น สเตนเลสเป็นท่ีนิยมใช้ในอุตสาหกรรมเคมี อาหาร และยา โดยมีขนาดต้ังแต่ DN6 ถึง DN1000 การบอกขนาดความหนามีการใช้ระบบ สเกดูลเช่นเดียวกับเหล็กเหนียว

สัดส่วนของโลหะชนิดต่างๆเป็นตัวกําหนดโครงสร้าง และคุณสมบัติของสเตนเลส ซึ่งสามารถ แยกได้เป็น 5 กลุ่มหลักคือ เฟอร์ริก (Ferritic) ออสเทนิติก (Austenitic) ซูเปอร์ออสเทนิติก(Superaustenitic) มาร์เทนซิติก (Martensitic) และ ดูเพลกซ์ (Duplex) โดยสเตนเสสแต่ละกลุ่มมี คุณสมบัติดังต่อไปนี้

1. เฟอร์ริก เสตนเลสสตีล ประกอบด้วย16-18% Cr, 0-4% Ni, 0-4% Mo และมีคาร์บอน ต่ำ สเตนเลสชนิดนี้มีคุณสมบัติเด่นคือ ตอบสนองต่อแม่เหล็ก มีความยืดหยุ่นสูง สามารถข้ึน รูปด้วยวิธีการรีดเย็นได้ แต่ไม่สามารถชุบแข็งด้วยความร้อนได้ ทนทานต่อการกัดกร่อนของ สารประเภทคลอไรด์ได้ดี จึงมักใช้ในงานขนส่งของไหลที่มีการกัดกร่อนสูง (เช่น กรดไนตริก) จากกระบวนการและเคร่ืองจักรเป็นต้นตัวอย่างของสเตนเลสชนิดนี้ได้แก่ASTM grade 430

2. ออสเทนิติก สเตนเลสสตีล ประกอบด้วย 17-27% Cr, 8-35% Ni และ 0-6% Mo วัสดุ น้ีมีคุณสมบัติสําคัญคือ ไม่ตอบสนองต่อแม่เหล็ก สามารถเช่ือมได้ มีความยืดหยุ่นสูงแม้ใน สภาวะเย็นจัด สามารถขึ้นรูปด้วยวิธีการรีดเย็นได้ แต่ไม่สามารถชุบแข็งได้ สเตนเลสประเภท น้ีทนต่อการกัดกร่อนท่ัวไปได้ดี แต่ไม่ทนต่อการกัดกร่อนด้วยคลอไรด์ โดยในเกรดท่ีมี ปริมาณคาร์บอนตามปกติจะมีปัญหาด้านการกัดกร่อนท่ีรอยเช่ือมเนื่องจากปริมาณโครเมี่ยม จะลดน้อยลงบริเวณแนวเช่ือม ซึ่งแก้ปัญหาได้โดยการเลือกใช้เกรดท่ีมีคาร์บอนตํ่า (ตํ่ากว่า 0.035%) ซึ่งจะระบุด้วยอักษรL ตามหลังรหัสตัวอย่างของสเตนเลสชนิดน้ีได้แก่ASTM304 และ 316 (304L และ 316L) เป็นต้น ASTM 304 เป็นสเตนเลสท่ีมีการผลิตมากท่ีสุด มีการใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมอาหาร ขณะท่ี ASTM 316 มีการผลิตมากเป็นอันดับ ท่ีสองทนต่อการกัดกร่อนได้ดีกว่าโดยASTM 316นิยมใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและยา รวมท้ังใช้ในสภาวะกัดกร่อนเช่น อุตสาหกรรมเคมี อุตสาหกรรมกระดาษ และ ในเรือเดินสมทุร เป็นต้น

3. ซูเปอร์ออสเทนิติก สเตนเลสสตีล ถูกสร้างข้ึนเพื่อให้ทนต่อการกัดกร่อนได้ดีกว่า สเตน เลสทั่วไป โดยมีองค์ประกอบที่สําคัญคือ Ni, Cr, Mo ทองแดง และเหล็ก มีรหัสเรียกตาม ระบบ UNS (Unified Numbering System) ว่าโลหะผสม N08020 N08024 และ N08026.

4. มาร์เทนซิติก สเตนเลสสตีล ประกอบด้วย 11-18% Cr, 0-6% Ni, 0-2% Mo และ 0.1- 1% C. ท่อชนิดนี้มีการดึงดูดกับแม่เหล็ก มีความต้านทางการเกิดออกซิเดชั่น และสามารถ ชุบแข็งด้วยความร้อนได้ มีการใช้ในงานท่อไม่มากนัก โดยมักใช้ทํามีด ใบกังหันก๊าซ และ ชิ้นส่วนสําหรับงานอุณหภูมิสูงต่างๆ มากกว่า ตัวอย่างของสเตนเลสชนิดนี้ได้แก่ ASTM grade 410

5. ดูเพลกซ์ สเตนเลส สตีล มีโครงสร้างภายในประกอบด้วยเฟอร์ริก และ ออสเทนิติก ใน สัดส่วนอย่างละ 40-60% มีข้อดีคือทนต่อการกัดกร่อนของสารประเภทคลอไรด์ มีความ แข็งแรงสูง รวมทั้งมีความยืดหยุ่นสูง และทนต่อการกระแทกได้ดี ข้อเสียคือมักเกิดการกัด กร่อนบริเวณแนวเชื่อมเนื่องจากกรดประเภทออกไซด์

เหล็กหล่อเหนียว (Ductile cast iron) มีส่วนประกอบของคาร์บอนอยู่ในรูปของอนุภาคกรา ไฟต์ทรงกลม (ต่างจากรูปแบบของเกล็ดกราไฟต์ในเหล็กหล่อสีเทา) การใช้งานมีลักษณะเดียวกับ เหล็กหล่อ แต่มีความแข็งแรงมากกว่า และเปราะน้อยกว่า มีขนาดต้ังแต่ DN80 ถึง DN1400 และมีพิกัดความดันตั้งแต่คลาส50(125psi) ถึงคลาส56(350psi)และคลาสสําหรับนํ้าเสียท่ัวไปท่อ ชนิดน้ีสามารถต่อได้ด้วยวิธีทางกล ต่อด้วยปะเก็น และ ต่อด้วยหน้าแปลน

error: Content is protected !!